วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สวัสดีครับ

วันนี้เรามาพบกันอีกครั้ง วันนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าที่เราเห็นกันในทุกๆวัน
นั้นก็คือ ดวงอาทิตย์ นั่นเอง ดวงอาทิตย์ คืออะไร เราไปดูพร้อมๆกันเลยครับ


ดวงอาทิตย์ คือดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง เป็นดาวฤกษ์ที่สำคัญในระบบสุริยะเป็นดาวฤกษ์ สีเหลือง 
มีอายุเกือบ 5,000 ล้านปี อยู่ห่าจากโลกของ เราประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร 
แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลา เดินทาง มายังโลกเพียง 8.3 นาที หรือ 499 วินาทีเท่านั้น 
พลังงานจำนวนมหาศาล ในดวงอาทิตย์ได้มา จากการเปลี่ยนก๊าซไฮโดรเจนเป็น ฮีเลียมที่อุณหภูมิประมาณ 15 ล้านเคลวิน หรือประมาณ 27 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่
มากกว่าโลกของเรา109 เท่า มีปริมาตร 1,300,000 เท่าของโลก 
และมีมวล มากกว่าโลกของเรา 333,434 เท่า



ดวงอาทิตย์ คือ ก้อนก๊าซขนาดมหึมาที่ลอยอยู่ในอากาศ พื้นผิวของดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างจ้า 
มีการระเบิดที่รุนแรงและแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่ง เนื้อสารของดวงอาทิตย์ทั้งปวงเป็นกาซ์ เนื่องจากอุณหภูมิภายในดวงอาทิตย์สูงมากจนสสารทุกชนิดแม้แต่เหล็กและทองคำหะเหยกลายเป็นไอ หากนักบินอวกาศขับยานอวกาศสมมติที่สามารถทนความร้อนนับสิบล้านเคลวิน บินตรงเข้าไปดวงอาทิตย์ ยานอวกาศลำนั้นจะบินทะลุดวงอาทิตย์ไปโดยไม่ชนกับของแข็งใดๆเลยดวงอาทิตย์ประกอบด้วยไฮโดรเจนประมาณ 70% ฮีเลียม 28% และธาตุหนักอื่นๆประมาณ 2% โดยมวล ดวงอาทิตย์มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1,392,000 กิโลเมตร หรือเท่ากับ 109 เท่าของเส้นผานศูนย์กลางของโลกและมีมวลถึง 2,000 ล้านล้านล้านล้านตัน ซึ่งคิดเป็นมวลกว่า 98 % ของมวลของวัตถุทั้งหมดในระะบบสุริยะ ด้วยเหตุนี้ดวงอาทิตย์จึงเป็นเสมือนหัวหน้าครอบครัว ที่ดึงดูดดาวเคราะห์ทุกดวงและวัตถุในระบบสุริยะรวมทั้งโลกของเราให้โคจรไปรอบๆ


ก๊าซชั้นนอกของดวงอาทิตย์มีความหนาแน่นไม่มากนัก แต่นํ้าอันมหาศาลทำให้บริเวณที่อยู่ลึกลงไปภายใต้พื้นผิวของดวงอาทิตย์มีความหนาแน่นสูงอย่างยิ่งยวด มวลกว่า 60 %ของดวงอาทิตย์กระจุกกันอยุ่ตรงแหนกลางที่มีรัสมีประมาณ 200,000 กิโลเมตรเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากกาซปริมาณแกนกลางของดวงอาทิตย์ที่แม้มีปริมาตรเพียง 1 ลูกบาศก์เมตร ก็จะมีน้าหนักถึง 160 ตัน ความหนาแน่นดังกล่าว ส่งผลให้อุณหภูมิที่แกนกลางสูงพอที่จะจุดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานตามธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ และสำคัญที่สุดของระบบสุริยะได้ พลังงานที่เกิดขึ้นจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่แกนกลางของดวงอาทิตย์จะแผ่ออกมายังบริเวณผิวโดยรอบ ทำให้ผิวของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิสูงประมาฯ 5,700 – 5,800 เคลวิน อันเป็นอุณหภูมิที่สูงมากแต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับอุณหภูมิ 15 ล้านเคลวินที่แกนกลาง



ดวงอาทิตย์ ไม่มีพันธะใดๆ ที่ยึดเหนี่ยวเนื้อสารที่เป็นก๊าซเข้าไว้ด้วยกัน แต่ดวงอาทิตย์ก็คงรูปอยุ่ได้ ด้วยความสมดุลของแรง เนื่องความดันจาการระเบิดภายในที่มีทิศพุ่งออกจากแกนกลาง และน้าหนักของมวลสารที่ออกแรงกดเข้าสู่แกนกลาง ความสมดุลนี้เองที่ทำให้ดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ทุกดวงบนท้องฟ้าสามารถคงรูปเป็นดวงดาวอยู่ได้
ปัจจุบัน มียานสำรวจหลายลำฝ่ารังสีความร้อนและรังสีอันรุนแรง เพื่อเข้าไปสำรวจดวงอาทิตย์อย่างใกล้ชิดและส่งข้อมูลกลับมาให้นักวิทยาศาสตร์บนโลกได้ศึกษา เพียงช่วงเวลาไม่ถึง 30 ปี ที่ผ่านมา ความเข้าใจในธรรมชาติของดวงอาทิตย์ของเราได้เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวขององค์ความรู้ในอดีตรวมกัน อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีที่ยังไม่สามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ลำและทำนายพฤติกรรมดวงอาทิตย์ได้อย่างเที่ยงตรง แสดวงให้เห็นว่า ยังมีธรรมชาติของดวงอาทิตย์อีกมากมายที่เรายังไม่ค้นพบ และยังไม่เข้าใจ



การศึกษาพฤติกรรมดวงอาทิตย์มีความสำคัญมาก เพราะกลไกลภายในและปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นดวงอาทิตย์ก็เกิดขึ้นบนดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ ในลักษณะที่คล้ายกันด้วย นักศึกษาจึงศึกษาดวงอาทิตย์เพื่อที่จะเข้าใจธรรมชาติของดาวฤกษ์มากขึ้น 


เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับเรื่องราวที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ 
ครั้งหน้าเราจะนำเรื่องอะไรมาเสนอ อย่าลืมติดตามชมกันด้วยนะครับ
ติดตามเราได้ที่ www.sjgadget.com

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ประวัติความเป็นมาของ ดาวหาง

สวัสดีครับ มาพบกันอีกครั้ง วันนี้เรานำประวัติความเป็นมาของ ดาวหาง ที่เพื่อนๆอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน ดาวหางจะเป็นยังไงกันบ้าง พร้อมกันหรือยังครับ ถ้าพร้อมแล้ว เราไปชมกันเล้ยยย.... ^^

   

ดาวหาง (Comet) คือ วัตถุชนิดหนึ่งในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ มีส่วนที่ระเหิดเป็นแก๊สเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดชั้นฝุ่นและแก๊สที่ฝ้ามัวล้อมรอบ และทอดเหยียดออกไปภายนอกจนดูเหมือนหาง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์จากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ไปบนนิวเคลียสของดาวหาง นิวเคลียสหรือใจกลางดาวหางเป็น "ก้อนหิมะสกปรก" ประกอบด้วยน้ำแข็ง คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย และมีฝุ่นกับหินแข็งปะปนอยู่ด้วยกัน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ไม่กี่กิโลเมตรไปจนถึงหลายสิบกิโลเมตร

       คาบการโคจรของดาวหางมีความยาวนานแตกต่างกันได้หลายแบบ ตั้งแต่คาบโคจรเพียงไม่กี่ปี คาบโคจร 50-100 ปี จนถึงหลายร้อยหรือหลายพันปี เชื่อว่าดาวหางบางดวงเคยผ่านเข้ามาในใจกลางระบบสุริยะเพียงครั้งเดียว แล้วเหวี่ยงตัวเองออกไปสู่อวกาศระหว่างดาว ดาวหางที่มีคาบการโคจรสั้นนั้นเชื่อว่าแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในแถบไคเปอร์ที่อยู่เลยวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป ส่วนดาวหางที่มีคาบการโคจรยาวอาจมาจากแหล่งอื่น ๆ ที่ไกลจากดวงอาทิตย์ของเรามาก เช่นในกลุ่มเมฆออร์ตซึ่งประกอบด้วยเศษซากที่หลงเหลืออยู่จากการบีบอัดตัวของเนบิวลา ดาวหางเหล่านี้ได้รับแรงโน้มถ่วงรบกวนจากดาวเคราะห์รอบนอก (กรณีของวัตถุในแถบไคเปอร์) จากดวงดาวอื่นใกล้เคียง (กรณีของวัตถุในกลุ่มเมฆออร์ต) หรือจากการชนกัน ทำให้มันเคลื่อนเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์น้อยมีกำเนิดจากกระบวนการที่ต่างไปจากนี้ อย่างไรก็ดี ดาวหางที่มีอายุเก่าแก่มากจนกระทั่งส่วนที่สามารถระเหิดเป็นแก๊สได้สูญสลายไปจนหมดก็อาจมีสภาพคล้ายคลึงกับดาวเคราะห์น้อยก็ได้ เชื่อว่าดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกหลายดวงเคยเป็นดาวหางมาก่อน


       นับถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2009 มีรายงานการค้นพบดาวหางแล้ว 3,648 ดวง[1] ในจำนวนนี้หลายร้อยดวงเป็นดาวหางคาบสั้น การค้นพบยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนที่ค้นพบแล้วเป็นแค่เศษเสี้ยวเพียงเล็กน้อยของจำนวนดาวหางทั้งหมดเท่านั้น วัตถุอวกาศที่มีลักษณะคล้ายกับดาวหางในระบบสุริยะรอบนอกอาจมีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านล้านชิ้น[2] ดาวหางที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามีปรากฏโดยเฉลี่ยอย่างน้อยปีละหนึ่งดวง[3] ในจำนวนนี้หลายดวงมองเห็นได้เพียงจาง ๆ เท่านั้น

       ดาวหางที่สว่างมากจนสามารถสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้โดยง่ายมักเรียกว่าดาวหางใหญ่ (อังกฤษ: Great Comet) นอกจากนี้ยังมีดาวหางประเภทเฉียดดวงอาทิตย์ ซึ่งมักจะแตกสลายเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากๆ อันเป็นผลจากแรงโน้มถ่วงมหาศาล เป็นที่มาของฝนดาวตกต่างๆ และดาวหางอีกจำนวนนับพันดวงที่มีวงโคจรไม่เสถียร

ชื่อและสัญลักษณ์
      คำว่า "ดาวหาง" (comet) มีรากศัพท์จากภาษาละตินว่า (cometes) ซึ่งมาจากคำภาษากรีก komē มีความหมายว่า "เส้นผมจากศีรษะ" อริสโตเติลเป็นคนแรกที่ใช้ชื่อ komētēs กับดาวหาง เพื่อบรรยายว่ามันเป็น "ดาวที่มีผม" สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์สำหรับดาวหางคือ (☄) ซึ่งเป็นภาพวาดแผ่นกลมกับเส้นหางยาว ๆ เหมือนเส้นผม

เป็นยังไงกันบ้างครับ สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับดาวหางในวันนี้ หวังว่าเพื่อนๆคงจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้นะครับ
ครั้งหน้าจะมีเรื่องอะไรมานำเสนอ อย่าลืมคอยติดตามชมนะครับ

อย่าลืมกดไลค์กดแชร์ให้กันด้วยนะครับ

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิธีการดูแลรักษากล้องดูดาว


     สวัสดีครับ เราเคยพูดถึงเรื่องของการใช้งานกล้องดูดาวกันไปแล้ว วันนี้เราจะมาพูดกันต่อในส่วนของการดูแลรักษากล้องดูดาวกันบ้าง ว่ามีวิธีดูแลรักษายังไง มาลองดูกันเลยครับ

      วิธีการดูแลกล้องดูดาวที่ถูกต้องเป็นอย่างไร?
กล้องดูดาวนั้นใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก แต่ให้ยึดหลัก 3 ข้อ ดังต่อไปนี้
→ ไม่ตก
→ ไม่เปียก 
→ ไม่ร้อน

การใช้งานกล้องดูดาวนั้นห้ามทำตกพื้น (รวมถึงการกระแทกเนื่องจากการขนย้ายกล้อง)เพราะจะทำให้เลนส์ข้างในเคลื่อนตัวไม่เป็นระนาบเดิมที่ตั้งมาจากโรงงานและอาจทำให้คุณภาพของภาพที่ได้จากกล้องลดลงอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นเลนส์หรือกระจกภายในกล้องอาจแตกได้

    ไม่เปียกนั้นคือการรักษาให้กล้องดูดาวแห้งสนิทตลอดเวลา การที่ทำให้กล้องดูดาวเปียกชื้น หรือแม้แต่ตั้งทิ้งไว้เฉยๆ ในห้องพักอาศัยจะส่งผลให้เลนส์อาจเกิดเชื้อราได้ ความชื้นหลังจากการใช้งานก็มีส่วนสำคัญยิ่ง เช่นบางครั้งท่านไปดูดาวแถวเขาใหญ่ซึ่งตอนกลางคืนนั้นจะมีน้ำค้างลงมาอย่างรุนแรงมาก เข้าขั้นว่าตอนเช้าเห็นกล้องดูดาวอาบน้ำกันเลยทีเดียว วิธีทำให้แห้งสามารถใช้ ไดเป่าผม เป่าให้แห้งจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ควรใช้ผ้าหรือทิชชูเช็ดที่เลนส์ของกล้องดูดาว 

     ยิ่งไปกว่านั้นการเก็บกล้องดูดาวควรมีสารดูดซับความชื้นเก็บไว้กับตัวกล้องเสมอเพราะถึงแม้หน้ากล้องจะแห้งแล้ว แต่ช่องว่างในตัวกล้องซึ่งมีช่องต่อจากเลนส์ใกล้ตามาที่ตัวกล้องเป็นอีกสาเหตุนึงให้กล้องดูดาวเกิดเชื้อราขึ้นภายใน ดังนั้น ควรใส่สารดูดความชื้นไว้ในกล่องที่เก็บกล้องดูดาวเสมอ


     ไม่ร้อนนั้นเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญมาก เพราะความร้อนจะค่อย ๆ ทำให้ลำตัวกล้องดูดาวเกิดการบิดเบี้ยวทีละนิ้ดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ และทำให้ระนาบของเลนส์ที่ตั้งไว้จากโรงงานผิดเพี้ยนไป อย่างไหนที่เรียกว่าร้อนบ้าง? ยกตัวอย่างเช่น ท่านเป็นคนชอบดูดาวมากจนต้องเก็บกล้องติดไว้กับรถของท่านตลอดเวลา ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะรถของท่านอาจไปจอดในที่มีแดด ซึ่งอุณหภูมิสูงสุดภายในรถนั้นอาจขึ้นถึง 60 องศาเซลเซียสเลยทีเดีย

        เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับการดูแลรักษากล้องดูดาวที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ ครั้งหน้าจะมีเรื่องอะไรมาเสนอ อย่าลืมติดตามกันนะครับ